วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556

กรวดสองสี


เศรษฐีคนหนึ่งชอบใจลูกสาวชาวนายากไร้ผู้หนึ่ง
เขาเชิญชาวนากับลูกสาวไปที่สวนในคฤหาสน์ของเขา
เป็นสวนกรวดกว้างใหญ่ที่มีแต่กรวดสีดำกับสีขาว
เศรษฐีบอกชาวนาว่า ท่านเป็นหนี้สินข้าจำนวนหนึ่ง
'แต่หากท่านยกลูกสาวให้ข้า ข้าจะยกหนี้สินทั้งหมดให้'
ชาวนาไม่ตกลง
เศรษฐีบอกว่า 'ถ้าเช่นนั้นเรามาพนันกันดีไหม
ข้าจะหยิบกรวดสองก้อนขึ้นมาจากสวน
ใส่ในถุงผ้านี้
ก้อนหนึ่งสีดำ ก้อนหนึ่งสีขาว ให้ลูกสาวของ
ท่านหยิบก้อนกรวดจากถุงนี้
หากนางหยิบได้ก้อนสีขาว ข้าจะยกหนี้
สินให้ท่าน และนางไม่ต้องแต่งงานกับข้า
แต่หากนางหยิบได้ก้อนสีดำ นางต้อง
แต่งงานกับข้า และแน่นอน ข้าจะยกหนี้ให้ท่านด้วย'
ชาวนาตกลง
เศรษฐีหยิบกรวดสองก้อนใส่ในถุงผ้า
หญิงสาวเหลือบไปเห็นว่ากรวดทั้งสองก้อนนั้นเป็นสีดำ
เธอจะทำอย่างไร?หากเธอไม่เปิดโปงความจริง
ก็จะต้องแต่งงานกับเศรษฐีขี้โกง
หากเธอเปิดโปงความจริง เศรษฐีย่อมเสียหน้า
และยกเลิกเกมนี้ แต่บิดาของเธอก็ต้องเป็นหนี้เศรษฐีต่อไปอีกนาน
-------------------------------------------------------------
เราส่วนใหญ่ถูกสอนมาให้มองปัญหาแบบขาวกับดำ
แต่ไม่ใช่ทุกปัญหาสามารถแก้ไขได้
อย่างขาวกับดำเสมอไป ในทางตรงกันข้าม
หากเราลองมองต่างมุม จะพบว่าหนทางการแก้ปัญหา
มีมากกว่าหนึ่งทางเสมอ
การยืดหยุ่นและพลิกแพลง
ไปตามสถานการณ์เป็นวิธีการหนึ่ง
บางครั้งในการแก้ปัญหา เราอาจต้อง
สร้างเครื่องมือในการแก้ปัญหาขึ้นมาใหม่
ในยุคของ มิคาอิล กอร์บาชอฟ เขากล่าวว่า
เป็นเรื่องเขลาที่คิดว่า ปัญหาที่รุมเร้ามนุษย์
ในวันนี้ สามารถแก้ไขได้ด้วยเครื่องมือที่เคยใช้ได้ผลในอดีต
หากเขาไม่ได้คิดเช่นนี้ บางทีวันนี้สัง
คมนิยมโซเวียตยังไม่เปิดประเทศ
และสันติภาพระหว่างฝ่ายขาว-ฝ่าย
แดงคงล้าหลังไปอีกหลายปี
โลกไม่มีสีขาวกับดำ
-------------------------------------------------------------
ลูกสาวชาวนาเอื้อมมือลงไปในถุงผ้า หยิบกรวดขึ้นมาหนึ่งก้อน
พลันเธอปล่อยกรวดในมือร่วงลงสู่
พื้นกลืนหายไปในสีขาวและดำของสวนกรวด
เธอมองหน้าเศรษฐีเอ่ยว่า 'ขออภัยที่ข้าพลั้ง
เผลอปล่อยหินร่วงหล่น แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อ
ท่านใส่กรวดสีขาวกับสีดำอย่างละก้อนลงไปในถุงนี้
ดังนั้นเมื่อเราเปิดถุงออกดูสีกรวดก้อนที่เหลือ ก็ย่อม
รู้ทันทีว่า กรวดที่ข้าหยิบไปเมื่อครู่เป็นสีอะไร'
ที่ก้อนถุงเป็นกรวดสีดำ
'...ดังนั้นกรวดก้อนที่ข้าทำตกย่อมเป็นสีขาว'
ชาวนาพ้นสภาพลูกหนี้ และลูกสาวไม่ต้อง
แต่งงานกับเศรษฐีขี้โกงคนนั้น

เครดิต:Thongchai Suthala

อ่านแล้วจะได้ไม่แสดงความ " โง่ "

เงินสิบบาท ถ้ามีเงินอยู่ 10 บาท ซื้อของ 3 บาท จะได้รับเงินทอนเท่าไร
ครูคนหนึ่งตั้งคำถามกับเด็กว่า ถ้ามีเงินอยู่ 10 บาท ซื้อของ 3 บาท จะได้รับเงินทอนเท่าไร
เด็กส่วนใหญ่ตอบว่า 7 บาท แต่มีเด็ก 2 คนที่ตอบไม่เหมือนกับคนอื่น
คนหนึ่งตอบว่า 2 บาท
อีกคนหนึ่งตอบว่า ไม่ต้องทอน
ครูถามเด็กคนแรกว่าทำไมถึงได้เงินทอน 2 บาท
คำตอบที่ได้ก็คือภาพในใจของเขา สำหรับเงิน 10 บาทคือ เหรียญห้า 2 เหรียญ
เมื่อซื้อของราคา 3 บาท เขาก็ให้เหรียญห้า 1 เหรียญ ดังนั้น จึงได้เงินทอน2 บาท
ถามเด็กคนที่สองว่าทำไมไม่เหลือเงินทอนเลย
คำตอบก็คือเด็กคนนี้คิดว่าในกระเป๋ามีเหรียญบาท 10 เหรียญ
เมื่อซื้อของราคา 3บาท เขาก็ส่งเหรียญบาทให้ 3 เหรียญ เพราะฉะนั้น คนขายจึงไม่ต้องทอนเงินให้เขา
โชคดีที่เป็นการถาม-ตอบในห้องเรียน ลองนึกดูสิครับว่าถ้าโจทย์นี้เป็นข้อสอบที่มีคำตอบเป็น ก-ข-ค-ง
เด็ก 2 คนนี้ก็คงไม่ได้คะแนนจากคำตอบที่ผิดเพี้ยนจากคนส่วนใหญ่
การสร้างโจทย์ที่ เสมือนจริง จินตนาการของครู อาจถูกจำกัดเพียงแค่ ตัวเลข
แต่สำหรับเด็กจินตนาการของเขาไร้กรอบ 10 บาท จึงสามารถเปลี่ยนเป็นเหรียญสิบ เหรียญห้า หรือเหรียญบาท
เมืองไทยมีเหรียญ 2 บาท เราจึงได้คำตอบเพิ่มอีก 1 คำตอบ คือ ได้เงินทอน 1 บาท
โลกในห้องเรียนกับโลกของความเป็นจริงนั้นแตกต่างกัน โลกในห้องเรียนทุกคำถาม ส่วนใหญ่มีเพียง 1 คำตอบ
แต่โลกของความเป็นจริง ทุกคำถามอาจมีคำตอบที่ถูกต้องได้เกิน 1 คำตอบ
อย่าตัดสินความผิดของคนๆ นั้น เพียงแค่ คำตอบ ของเรา

เครดิต:Thongchai Suthala

วันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ตู้ปลา บนโต๊ะทำงาน



การเลี้ยงปลา เป็นงานอดิเรกที่ลดความเครียดได้ดีมากๆ อย่างหนึ่ง มีการทดลองหลายต่อหลายครั้งของผู้เชี่ยวชาญ พบว่า คนที่มีความเครียดสูง เมื่อได้นั่งดูปลาอย่างสงบๆ สักระยะหนึ่ง ความเครียดนั้นจะลดลง โรงเรียนอนุบาลบางแห่งนิยมนำตู้ปลามาจัดวางให้นักเรียนได้ดู แล้วพบว่า เด็กที่สมาธิสั้นอยู่นิ่งไม่เป็น กลับนั่งดูปลาได้เป็นเวลานาน โดยเฉพาะหากมีครูหรือผู้มีความรู้เรื่องปลามาคอยอธิบาย เล่าเรื่องปลา ธรรมชาติของมัน และการนำมาเลี้ยงดูอย่างถูกต้อง เด็กก็จะยิ่งสนใจมากเป็นพิเศษ ในประเทศเกาหลีใต้มีหลายบริษัทจัดให้มีตู้ปลาขนาดเล็กๆ ไว้บนโต๊ะทำงานของพนักงานแต่ละคน ไม่ใช่เป็นการเอาใจ หากแต่เป็นวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานได้อย่างชาญฉลาด


ช่วงขณะคร่ำเคร่งกับงาน  ไม่ว่าจะเป็นงานเอกสาร งานออกแบบ หรืองานที่ต้องใช้การคำนวณทางคณิตศาสตร์ ร่างกายเราจะตึงเครียด หากทำต่อไปสักระยะก็จะอ่อนล้าโดยไม่รู้ตัว ทั้งที่ไม่ได้ใช้แรงงานอะไร แต่การพักผ่อนสายตาและอารมณ์ในช่วงสั้นๆ สลับกับการทำงานจะช่วยให้ร่างกายฟื้นฟู จิตใจผ่อนคลาย สามารถกลับเข้าหางานได้อย่างสดชื่น เหมือนได้เติมพลัง เมื่อมีคนนำแนวคิดนี้มาใช้ได้ผลกับหลายองค์กร ปลาสวยงามในตู้เล็กๆ บนโต๊ะทำงานจึงเข้ามามีบทบาทมากโดยเฉพาะในช่วงทศวรรษนี้

ตู้ปลา บนโต๊ะทำงาน โดยมากต้องมีขนาดเล็ก เพราะไม่ต้องการให้กินเนื้อที่บนโต๊ะ สามารถวางแล้วไม่ดูเกะกะ สมัยก่อนนิยมโหลกลมๆ เลี้ยงปลาทอง หรือปลาเล็กๆ เพียงนิดหน่อย ไม่มีระบบกรองน้ำหรือไฟส่องสว่าง แต่ภาชนะชนิดนี้ค่อยๆ ลดความแพร่หลายลงไป เพราะความบอบบางของตัวมันเอง ทำให้ผู้เลี้ยงต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ แถมยังไม่มีระบบการกรองทำให้คุณภาพน้ำเสียเร็วมาก ผู้เลี้ยงต้องคอยเปลี่ยนถ่ายน้ำเป็นประจำทุกวัน แทนที่จะได้ใช้เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดจากการทำงาน กลายเป็นมีงานเพิ่มเข้ามาอีก คือล้างโหล เปลี่ยนถ่ายน้ำ ปัจจุบัน วงการปลาสวยงามพัฒนาอุปกรณ์การเลี้ยงปลาไปไกล ตู้ปลาขนาดเล็กที่เรียกกันว่า “ตู้นาโน” จึงเข้ามามีบทบาทแทนโหลแก้วหรือตู้เล็กๆ อย่างสมัยก่อนที่ใช้กระจกบางเฉียบและดูไม่สวยเลย
ตู้ปลา บนโต๊ะทำงาน ควรมีขนาดตั้งแต่ 30 เซนติเมตร ไปจนถึง 50 เซนติเมตร ใหญ่กว่านี้ควรเอาไปตั้งที่อื่นแล้ว เพราะคงกินเนื้อที่โต๊ะไปเกือบหมด ส่วนตู้ที่เล็กมากกว่า 30 เซนติเมตร มันก็จะเป็นอะไรที่เรียกว่าคุกตารางสำหรับปลามากเกินไป (เคยเห็นหลายคนพยายามแข่งกันเลี้ยงปลาในตู้ที่เล็กที่สุดเท่าที่จะเล็กได้ บางตู้เล็กกว่าจอกน้ำชาเสียอีก เห็นปลาว่ายในนั้นแล้วรู้สึกหดหู่ทรมาน ไม่มีความสวยงามอะไรเลยสักนิดเดียว)
คุณสมบัติของตู้ปลาบนโต๊ะทำงานคือ ต้องกระจกหนา เพื่อความปลอดภัย ไม่ใช่โดนอะไรนิดหน่อยก็ร้าวเสียแล้ว อีกอย่างคือเนื้อกระจกต้องดี ใส ไม่หลอกตา มีความสูงพอประมาณ หรือสูงมากเป็นพิเศษได้ แต่ต้องไม่เตี้ย เมื่อใส่น้ำแล้วต้องมีขอบสูงเผื่อไปอย่างน้อย 2.5 เซนติเมตร ตู้อาจมีฝาปิดหรือไม่มีก็ได้ ขึ้นอยู่กับความชอบและชนิดของปลา แต่ควรมีระบบไฟส่องสว่าง ไม่เช่นนั้นตู้จะมืดทึบ ดูแล้วไม่สวยงามอะไรเลย
ตู้ขนาดเล็กที่ไม่มีฝาปิดนิยมใช้ระบบกรองแบบแขวน เนื่องจากประสิทธิภาพสูงในพื้นที่เล็กแคบ แถมยังไม่กินที่เพราะแขวนห้อยไว้ข้างหลังตู้ มีเฉพาะส่วนท่อดูดน้ำเท่านั้นที่จุ่มลงไปเพื่อดูดเอาน้ำจากส่วนล่างของตู้ปลาขึ้นมาบำบัดก่อนปล่อยตกกลับลงไปเหมือนน้ำตก ซึ่งจะได้ทั้งออกซิเจนและเพิ่มการไหลเวียนของน้ำได้ดีเยี่ยม หลีกเลี่ยงระบบกรองภายในตู้ (อย่างที่นิยมใช้กับตู้ขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่)
เนื่องจากประการแรก คือ กินเนื้อที่ภายในตู้ไปค่อนข้างมากแล้วยังทำงานลำบาก ช่องที่กั้นแบ่งไว้ด้านในเอามือล้วงลงไปหยิบดึงเอาวัสดุกรองหรือตัวปั๊มน้ำขึ้นมาล้างทำความสะอาดยากมาก พอทำงานยากหลายคนเลยปล่อยไว้อย่างนั้น นานวันเข้าระบบก็ล่ม เพราะตะกอนของเสียสะสมข้นคลั่กล้นหลาม ปลาก็เริ่มป่วยหรือทยอยตาย
ระบบไฟส่องสว่าง หากเป็นตู้ที่มีฝาปิดก็มักติดระบบไฟแบบนี้มาในตัวเสร็จสรรพ แต่หากไม่มีฝาก็สามารถหาซื้อโคมไฟสำหรับตู้ปลาขนาดเล็กมาติดตั้งเองได้ไม่ยาก เลือกที่ให้กำลังแสงเหมาะสมกับตู้ หากโคมไฟเล็กเกินไปก็จะดูบรรยากาศในตู้อึมครึมหม่นหมอง แต่หากโคมใหญ่เกินไปนอกจากจะดูเทอะทะแล้วแสงไฟในปริมาณสูงมากๆ ก็จะทำให้ปลาเกิดความเครียด คนดูก็ไม่สบายตา ที่สำคัญตะไคร่ในน้ำจะก่อตัวเร็ว มาเกาะติดแน่นบนเนื้อกระจก ทำให้ต้องคอยเช็ดขัดกันอยู่บ่อยๆ เป็นภาระอีก
ปลาที่เหมาะกับตู้เล็กแบบนี้มีมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ปลาหางนกยูง ปลานีออน ปลาคาร์ดินัลเตตร้า ปลาซิวข้างขวาน ปลาเอ็มเบอร์เตตร้า ปลาคิลลี่ ปลาหมอแคระ (Dwarf Cichlid) ไปจนถึงปลาเงินปลาทอง ปลาเทวดา ปลาปอมปาดัวร์ ที่โดยปรกติจะต้องเลี้ยงในตู้ขนาดใหญ่ แต่เมื่อจะเลี้ยงในตู้เล็กก็พอทำได้โดยเลือกเลี้ยงตั้งแต่ยังเป็นลูกปลาและเลี้ยงให้น้อยตัว เช่น 1หรือ 2 ตัว ก็พอแล้ว ชนิดปลาที่เหมาะสมคือ ปลาที่เลี้ยงง่าย ไม่ต้องการพื้นที่กว้าง ไม่ดุร้าย ก้าวร้าว
จะเลี้ยงปลาในตู้เล็กให้ดูสวยงาม ควรให้ความสำคัญกับการจัดตู้ด้วย ตู้บนโต๊ะทำงานที่ได้รับความนิยมมากคือ ตู้ที่ประดับตกแต่งด้วยพรรณไม้น้ำ คนดูจะได้รับความงดงามของสีสันเขียวสดขจีของต้นไม้ ตัดกับสีสวยๆ ของปลาที่แหวกว่ายเคล้าคลอ ต้นไม้ควรเลือกชนิดที่ทนทาน ปลูกเลี้ยงง่าย ไม่ต้องการการเลี้ยงแบบพิเศษ เป็นต้นว่า อนูเบียส เฟินชวา เฟินวินเดอลอฟ มอส อะเมซอน ส่วนชนิดที่นิยมปลูกเลี้ยงกันในตู้พรรณไม้น้ำจริงจังพยายามหลีกเลี่ยง จริงอยู่ว่าหลายคนมีฝีมือถึงขั้นสามารถเลี้ยงรอดได้แน่นอน แต่อย่าลืมว่าจุดประสงค์ของ ตู้ปลา บนโต๊ะทำงาน มีไว้เพื่อลดความเครียดจากงาน เป็นเครื่องพักผ่อนสายตา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของงานในบริษัทหรือองค์กร ไม่ใช่มีไว้เพื่อเอาเวลามาดูแล เฝ้าประคบประหงมมันครับ
เมื่อเลือกซื้อตู้ปลา ระบบกรอง ระบบไฟส่องสว่าง และวัสดุสำหรับตกแต่ง มาเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนแรกให้หามุมสำหรับวางตู้บนโต๊ะทำงานของเราให้ได้เสียก่อน ควรเลือกมุมสงบที่สุดและไม่เกะกะ จากนั้นล้างตู้และวัสดุตกแต่งด้วยน้ำเปล่า เทกรวดหรือดินที่จะใช้ตกแต่งลงไป ติดตั้งระบบกรอง แล้วค่อยลงมือจัดวางของตกแต่งหรือปลูกต้นไม้ ต้นไม้บางอย่างที่ผูกไว้ติดกับขอนไม้ อย่าง อนูเบียส สามารถจัดวางลงไปได้เลย เสร็จเรียบร้อยหาถ้วยมา 1 ใบ วางลงกับพื้น เติมน้ำโดยให้ปลายน้ำทิ้งลงกับถ้วยช้าๆ ถ้วยจะป้องกันไม่ให้น้ำกระแทกดิน กรวด หรือต้นไม้ ที่ปลูกเลี้ยงไว้ให้เสียหาย พอน้ำเต็มก็เริ่มระบบการทำงานของกรอง ติดตั้งระบบไฟส่องสว่าง เพียงไม่กี่ชั่วโมงน้ำก็จะใส รอจนครบ 1-2 วัน ค่อยไปหาซื้อปลามาลงเลี้ยง
อย่าเลี้ยงปลาหนาแน่นจนเกินไป ปลาขนาดเล็กๆ จิ๋วๆ อย่าง ปลานีออน อาจใช้สูตร ตัว ต่อน้ำ1 ลิตร ในขณะที่ ปลาทอง 1 ตัว ต้องใช้น้ำ 20-35 ลิตร การเลี้ยงปลาที่หนาแน่นเกิน จะทำให้เกิดสภาพแออัด น้ำเสียเร็ว ปลาเกิดความเครียดตลอดเวลา เราเจ้าของตู้ต้องคอยเปลี่ยนถ่ายน้ำทำความสะอาดให้บ่อย บางทีวันสองวันต้องถ่ายน้ำอีกแล้ว เลี้ยงแค่พอให้ดูสวย ปลามีพื้นที่ว่ายน้ำมีความสุข เราเองก็ไม่ต้องเหนื่อยกับการดูแล แถมยังได้รับความเพลิดเพลินใจกับตู้สวยๆ น้ำใสๆ ใบนี้อีกด้วยครับ
ว่าแล้วผมก็คงต้องออกไปหาซื้อมาเลี้ยงกับเขาสักตู้เหมือนกัน พักหลังนี่มีแต่งานนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ ได้เปลี่ยนอิริยาบถดูปลาบ้าง คงมีความสุขดีมิใช่น้อย

พิชิต ไทยยืนวงษ์ 
เกร็ดเกษตร
วันที่ 05 มิถุนายน 2556


วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556

"หมาขี้เรื้อน” เปลี่ยนคนใจดำ

    เรื่อง มีอยู่ว่า พี่ชิตแกเป็นคนใจดำครับชอบยิงนกตกปลาไปเรื่อย 
แต่ที่หนักก็คงเป็นเนื้อหมา แกกินแหลกครับแต่...แม่แกบอกมันบาปนะลูก(ไม่สนโว้ย)

เมื่อราว 15 ปีก่อน มีเหตุการณ์ที่ทำให้แกเปลี่ยนไป ครั้งนั้นมีหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งครับมันมักวิ่งไปหาของกินแถวๆบ้านแกบ่อย เพราะบ้านแกติดตลาด พี่แกกินหมาอยู่บ่อยๆแต่ กรณีหมาขี้เรื้อนแกบอก ‘xxxกินไม่ลงว่ะ’

แกทำอย่างเดียวคือไล่ฆ่า แต่มันรอดได้ทุกครั้ง (สงสัยมีของ) มันไปหาของกินทีบางทีก็ได้บางทีก็ไม่ได้

คราวนั้นเนื้อแห้งที่แกตากไว้หายไป พอมองไปก็เห็นแม่หมาขี้เรื้อนวิ่งหลุนๆไป แกเดือดทันทีครับวิ่งตามไป คราวนี้ทันครับเพราะหมา ขี้เรื้อนวิ่งช้ามาก
 
แก ทุบไปทีเดียวหมานั่นล้มลงชักทันที (แกบอกว่าหากตีตรงจุดแค่ไม้บรรทัดก็ตาย)
แกทิ้งไว้ตรงนั้นไม่อยากจับแต่ จะทำกินตรงนั้น จึงกลับบ้านไปเตรียมของ
(แค้นจัดอยากกินหมาขี้เรื้อน) ให้ผมเฝ้าไว้

ผมก็มัวแต่เก็บตะขบจนลืมดู (ในใจอยากให้มันรีบไปจะได้ไม่ตาย) มันไปจริงครับหายวับไป พี่ชิตแกโกรธมากคงอยากเตะผมเต็มแก่ แต่ลุงผม แกเป็นนักเลงใหญ่และเป็นคนสอนวิธีฆ่าหมาให้

ก็ต้องวิ่งตามอย่าง เดียวพร้อมบ่น ‘ทำไมมันไม่ตายวะ’

พักหนึ่งก็ได้ยินเสียงหมาเห่า
แกตามทันทีพอไปถึง ภาพที่เห็น ……………………………………….

หมา ขี้เรื้อนกำลังจะตายมันมีลูกที่ต้องเลี้ยง 5 ตัวครับ วัยกำลังหย่านมบางตัวยังกินนมอยู่ บางตัวก็วิ่งไปคาบเนื้อที่แม่หมาขี้เรื้อนคาบไปฝาก (เห็นกับตา) ที่มันยังไม่ยอมตายเพราะต้องกลับไปให้นมลูก แม้น้ำนมแห้งกรัง เอาอาหารไปให้ลูกมัน เรียกลูกๆเพื่อให้นม ให้อาหาร เป็นครั้งสุดท้าย แม่หมาพยายามอย่างดีที่สุด
 
มันมองผมกับพี่ชิตอย่างขอร้อง ขอให้มันให้นมลูกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตาย

ไม่อยากเชื่อนั่น คือน้ำตาของหมาขี้เรื้อน มันแค่ต้องการให้นมลูกก่อนตาย

พี่ชิตไม้ หล่นลงกับพื้น เดินเข้าไปดูแม่หมานั่น ในยามนั้นสิ่งที่แกเห็นไม่ใช่หมาขี้เรื้อน

แต่ แกเห็นแม่ที่ยิ่งใหญ่ที่ทนเจ็บกลับไปหาลูก
แกไม่พูดอะไรทุกอย่างจุกอยู่ ที่ลำคอสายตาอ่อนโยนลง

ลูกหมาตัวหนึ่งวิ่งไปหาแกกระดิกหางให้ แกอุ้มลูกหมาขึ้นพร้อมพูดว่า ‘ขอโทษ’ พูดได้แค่นั้นแม่หมาก็ตาย เราช่วยกันฝังแม่หมา

แกรับเลี้ยงหมานั่น ไว้ ทั้ง5ตัวตั้งแต่นั้นแกกลายเป็นคนใจดีไม่ไล่ยิงนกยิงหมายิงแมวอีกแกบอก ‘มันอาจมีลูกรออยู่ก็ใด้’

เมื่อ 12 สิงหา 2 ปีที่แล้ว แกเอามะลิร้อยเป็นพวงไปให้แม่ทั้งๆที่ไม่เคยทำ
พูดกับแม่ว่า ‘แม่ตอนผมอายุ16 แม่สอนผมยังไงนะสอนอีกหนใด้ไหมครับ’

แม่แกน้ำตาคลอพูดไม่ออก ไม่อยากเชื่อแม่หมาขี้เรื้อนตายไป1ตัว
กลับทำให้คนใจดำอย่างแกเปลี่ยนไป ขนาดนี้




ที่มา:http://www.yantip.com/viewthread.php?tid=22837&extra=page%3D23

วันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เมื่อท่านเป็นหนี้....แล้วไม่มีเงินจ่ายต้องทำไง...

บทความนี้ ผมไม่ได้แนะนำให้ใครทำตามนะครับ...

ผมแค่เข้ามาเล่า“ข้อกฏหมาย”บางอย่างให้ฟังเฉยๆ



          ถ้าลูกหนี้ หรือจำเลย เมื่อถูกศาลพิพากษาให้ชดใช้หนี้ตามหมายฟ้องแล้ว 

ลูกหนี้หรือจำเลย ไม่ยอมใช้หนี้ตามคำสั่งของศาล ก็จะเข้าสู่กระบวนการที่ทางเจ้าหนี้ 
จะต้องส่งเรื่องให้ "กรมบังคับคดี" ทำการอายัดเงินเดือน หรืออายัดทรัพย์สินต่อไป

แล้วถ้า ลูกหนี้หรือจำเลย ไม่มีทรัพย์สินใดๆให้อายัดหรือยึด 

ทางเจ้าหนี้และกรมบังคับคดี ก็จะเหลือเพียงแค่ช่องทางเดียวเท่านั้น ก็คือการ 
"อายัดเงินเดือน" ของลูกหนี้

         แต่การที่จะอายัดเงินเดือนของลูกหนี้ได้ ลูกหนี้จะต้องมีเงินเดือนเกินกว่า 

10,000.-บาท ขึ้นไปเท่านั้น...จึงจะอายัดได้...และจะอายัดได้ไม่เกิน 30% 
จากเงินเดือนของลูกหนี้ด้วย...โดยไม่สนว่าลูกหนี้จะมีเจ้าหนี้กี่ราย 
(จะมีเจ้าหนี้เป็น สิบราย , ร้อยราย , หรือพันราย ก็ตาม) 
เพราะกฏหมายเขาเขียนคุ้มครองเอาไว้อย่างนั้น...เช่น...ถ้าลูกหนี้มีเงินเดือน 30,000.-บาท 
เจ้าหนี้ก็จะอายัดเงินเดือนของลูกหนี้ได้ประมาณ 9,000.-บาท 
(คำนวนจาก 30% ของเงินเดือนที่ 30,000-บาท)...
แต่ถ้าลูกหนี้มีเงินเดือนแค่ 10,200.-บาท เจ้าหนี้ก็จะอายัดเงินเดือนได้แค่ 200.-บาท 
เท่านั้น จะมาอายัดเงินเดือน 30% จากเงินเดือนที่จำนวน 10,200.-บาท ไม่ได้ 
(เพราะกฏหมายเขาเขียนกำหนดให้ลูกหนี้ผู้ที่ถูกอายัดเงินเดือน 
จะต้องมีเงินเดือนเหลือเอาไว้สำหรับ กิน , ใช้จ่าย , ยังชีพ...ที่ขั้นต่ำ 10,000-บาท)

             แต่ถ้าลูกหนี้ "ตกงาน" หรือไม่ได้ทำงานตามบริษัทต่างๆ...

กล่าวคือ...ไม่ได้มีรายได้ประจำเป็นเงินเดือนที่แน่นอน และไม่มีการนำเงินส่งภาษีและประกันสังคม...อาทิเช่น...ขับรถ Taxi , ขับรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างตามวิน , ขายก๋วยเตี๋ยว , 
ขายกาแฟ , ขายข้าวแกง , ขายเสื้อผ้าตามตลาดนัด , ทำงานฟรีแลนซ์ , 
ขายของตาม Internet ฯลฯ...อย่างนี้เป็นต้น ก็จะเปรียบเสมือนกับบุคคลที่"ตกงาน"หรือ
"ว่างงาน" ตามการเรียกเก็บภาษีและรายได้ของรัฐ...ซึ่งก็หมายความว่า 
ตามอายัดเงินเดือนไม่ได้ เพราะรายได้ต่างๆที่ได้มานั้น...ไม่ถูกจัดว่าเป็น"เงินเดือน" 

            เมื่ออายัดทรัพย์สินก็ไม่ได้...อายัดเงินเดือนก็ไม่ได้ หนี้ต่างๆ 

ของลูกหนี้หรือจำเลยที่ถูกศาลพิพากษา ก็จะถูกแขวนลอยเอาไว้เฉยๆ 
(หรือที่เรียกว่าถูก"แขวนหนี้")...และถ้าหากระยะเวลาในการ"แขวนหนี้"
 ผ่านพ้น10 ปีไปแล้ว หนี้ตัวนี้ก็จะ"หมดอายุความ"ในการอายัดจากทางเจ้าหนี้
           ซึ่งระหว่างใน 10 ปี ที่หนี้ดังกล่าว ถูกแขวนลอยเอาไว้เฉยๆอยู่อย่างนี้ 
ทางเจ้าหนี้ก็จะพยายามสืบทรัพย์ให้ได้ว่า ลูกหนี้มีทรัพย์สินเก็บหรือซุกซ่อนเอาไว้
ที่ไหนบ้างหรือปล่าว? หรือไปเปิดบัญชีเงินฝากไว้ที่ไหนบ้าง?...ถ้าสืบเจอ 
ก็ไปแจ้งต่อกรมบังคับคดีให้มาทำการยึดไปใช้หนี้...แต่ถ้าสืบไม่เจอ 
หรือสืบแล้วพบว่าไม่มีทรัพย์สินใดๆเลย...ก็ทำอะไรไม่ได้

และเมื่อระยะเวลาในการ"แขวนหนี้ 10 ปี"นี้...ผ่านพ้นไปแล้ว 

(10 ปีนี้ ให้เริ่มนับจากวันที่ถูกศาลพิพากษา เป็นต้นไป) เจ้าหนี้ก็จะหมดอายุความ
ในการอายัดทันที (จะมาอายัดทรัพย์ หรืออายัดเงินเดือน ที่เพิ่งจะมารู้หรือเพิ่งมาเจอ 
ภายหลังจาก 10 ปีผ่านพ้นไปแล้ว ไม่ได้อีกต่อไป) ลูกหนี้หรือจำเลย 
ก็จะเป็น "ไท" ในทันที ไม่ต้องมาชดใช้หนี้สินที่เหลืออยู่อีกต่อไป

บทความที่เล่ามาให้ฟังทั้งหมดนี้ เป็นเพียงแค่ข้อกฏหมาย 

ที่นำมาถ่ายทอดให้เป็นความรู้เท่านั้นนะครับ...ไม่ได้แนะนำให้คุณ หรือใครทำตามนะครับ
เพียงแต่แค่...เล่าให้ฟังเฉยๆ “รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม”...เหอ...เหอ...เหอ...
อนณสุข ปรมาลาภา

ความไม่มีหนี้ เป็นลาภอันประเสริฐ

ที่มา:http://debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=7&id=8746&Itemid=52  ขอบคุณเจ้าของบทความ